ศ.ดร.พญ. เอเวลีน บิชอฟ เป็นศาสตราจารย์เต็มตัวที่มหาวิทยาลัยการแพทย์และสุขภาพเซี่ยงไฮ้ และเป็นหัวหน้าคลินิกแพทย์ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เหรินจี้ (Jiaotong University) ท่านสำเร็จการฝึกอบรมที่โรงพยาบาลหลายแห่งในเครือของ Harvard Medical School เช่น โรงพยาบาล Massachusetts General, Beth Israel, Brigham and Women's และ Dana-Farber Cancer Institute รวมถึงโรงพยาบาล Columbia University NewYork-Presbyterian และโรงพยาบาล Basel University ศ.ดร.พญ. เอเวลีน บิชอฟ เชี่ยวชาญในด้านอายุรศาสตร์และมะเร็งวิทยา งานวิจัยของท่านเน้นที่การแพทย์เพื่อสุขภาพอายุยืน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และสุขภาพดิจิทัล โดยมุ่งเน้นในด้านมะเร็งวิทยา การแพทย์เชิงป้องกันและแม่นยำ รวมทั้งที่เกี่ยวข้องกับ พฤฒาวิทยา 

ศ.ดร.พญ. บิชอฟ มีประสบการณ์มากกว่าสิบปีในด้านการแพทย์ การบรรยายในโรงเรียนแพทย์ และการวิจัยในนิวยอร์ก, เซี่ยงไฮ้ และบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ท่านมีประสบการณ์ในการทำงานวิจัยในสถาบันที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง เช่น สถาบันและโรงพยาบาลมะเร็ง Fudan, โรงพยาบาล Zhongshan (มหาวิทยาลัย Fudan), โรงพยาบาล Renji (มหาวิทยาลัย Jiaotong) และโรงพยาบาล Shanghai East (มหาวิทยาลัย Tongji)

ศ.ดร.พญ. บิชอฟ ได้ตีพิมพ์บทความวิชาการมากกว่า 180 เรื่อง และเป็นวิทยากรบรรยายในงานประชุมวิชาการและการแพทย์ในระดับนานาชาติอย่างสม่ำเสมอ ท่านเป็นที่รู้จักในด้านการแพทย์เพื่อสุขภาพอายุยืนและได้รับการยอมรับในผลงานของท่านในระดับนานาชาติ นอกจากนี้ ท่านยังดำรงตำแหน่งกรรมการในองค์กรที่มีชื่อเสียง เช่น European Federation of Internal Medicine, Swiss Society of Internal Medicine และ Royal Society of Medicine.

ดร. เคลาดิโอ วีเชลลี เป็นนักชีววิทยาระดับโมเลกุลและเซลล์วิทยา ซึ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านสรีรวิทยาของกล้ามเนื้อจาก ETH Zurich งานวิจัยของเขาได้แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีที่เข้าถึงได้อย่างแพร่หลาย เช่น สมาร์ทโฟน สามารถนำมาใช้เพื่อเก็บข้อมูลเชิงกลชีววิทยาของการออกกำลังกายแบบแรงต้านได้ เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถนำมาใช้ในการติดตามและปรับการออกกำลังกายแบบแรงต้านให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เขายังได้ตีพิมพ์บทวิจารณ์หลายฉบับที่เน้นความสำคัญของการออกกำลังกายแบบแรงต้านต่อสุขภาพและความยืนยาว โดยสำรวจบทบาทของตัวบ่งชี้การออกกำลังกายแบบแรงต้านและปัจจัยที่มีผลกระทบ เช่น อายุ เพศ และพันธุกรรม

หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ดร. วีเชลลีได้ทำงานเป็นนักวิจัยหลังปริญญาเอกที่ ETH Zurich ซึ่งเขาได้พัฒนาเครื่องออกกำลังกายแบบแรงต้านที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ เพื่อศึกษาศักยภาพในการปรับโปรแกรมการออกกำลังกายแบบแรงต้านให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ในปี พ.ศ. 2567 เขาได้เข้าร่วมกับบริษัท Keyoniq Switzerland AG ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์

ศ.ดร. คริสโตเฟอร์ เมสัน เป็นศาสตราจารย์ด้านจีโนมิกส์สรีรวิทยา และชีวฟิสิกส์ที่ Weill Cornell Medicine ท่านสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี (BS) สาขาพันธุศาสตร์และชีวเคมีจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสันในปี พ.ศ. 2544, ปริญญาเอก (PhD) สาขาพันธุศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเยลในปี พ.ศ. 2549 และการวิจัยหลังปริญญาเอกในสาขาพันธุศาสตร์คลินิกที่ มหาวิทยาลัยเยลในปี พ.ศ. 2552 ขณะเดียวกัน ท่านยังดำรงตำแหน่ง Visiting Fellow คนแรกด้านจีโนมิกส์ จริยธรรม และกฎหมายในโครงการ Information Society Project ที่มหาวิทยาลัยเยล (พ.ศ. 2549-2552) ในปี พ.ศ. 2553 ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านจีโนมิกส์ สรีรวิทยา และชีวฟิสิกส์ที่ Weill Cornell Medicine และได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองศาสตราจารย์ในปี พ.ศ. 2558 จากนั้นได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการโครงการ WorldQuant Initiative for Quantitative Prediction ในปี พ.ศ. 2560 ทั้งนี้ ศ.ดร. คริสโตเฟอร์ เมสัน ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์ในปี พ.ศ. 2563

ท่านยังดำรงตำแหน่งในโครงการ Tri-Institutional Program ด้าน Computational Biology and Medicine (ซึ่งประกอบด้วย Cornell, Memorial Sloan-Kettering Cancer Center และ Rockefeller University), ศูนย์มะเร็ง Sandra and Edward Meyer, สถาบันวิจัย Feil Family Brain and Mind Research Institute (BMRI) อีกทั้งเป็นอาจารย์ผู้ร่วมวิจัยในโครงการ Consortium for Space Genetics ที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด และเป็นคณะผู้วิจัยหลักที่ศูนย์จีโนมแห่งนิวยอร์ก (New York Genome Center, NYGC) ศ.ดร. เมสันได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน “Brilliant Ten” นักวิทยาศาสตร์ที่โดดเด่นโดย Popular Science ได้ขึ้นเวทีบรรยาย TEDMED และถูกเรียกว่า “อัจฉริยะทางพันธุศาสตร์” โดย 92Y

ศ.ดร. เมสันเป็นผู้เขียนบทความวิชาการที่ผ่านการทบทวนโดยผู้ทรงคุณวุฒิมากกว่า 350 เรื่อง และผลงานวิจัยของท่านได้ขึ้นปกวารสารชั้นนำ เช่น Nature, Science, Cell, Nature Biotechnology, Nature Microbiology และ Neuron รวมถึงถูกอ้างอิงในเอกสารทางกฎหมายที่อ้างอิงในศาลแขวงของสหรัฐฯ และศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ท่านมีสิทธิบัตร 5 ฉบับ ร่วมสร้างการทดสอบวินิจฉัยที่ได้รับอนุมัติจาก FDA 5 รายการ และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพ 10 แห่งและองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร 3 แห่ง รวมทั้งยังเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรอื่นๆ อีก 32 แห่ง

ศ.ดร. ไบรอัน เคนเนดี้ เป็นศาสตราจารย์ในภาควิชาชีวเคมีและสรีรวิทยา และดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโครงการวิจัยเพื่อสุขภาพที่ยืนยาว (Healthy Longevity Translational Research Programme) และศูนย์ Bia-Echo Asia เพื่อการวิจัยด้าน Reproductive Longevity and Equality ที่คณะแพทยศาสตร์ยงหลู่หลิน มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้อำนวยการศูนย์เพื่อสุขภาพที่ยืนยาว (Centre for Healthy Longevity) ของระบบสุขภาพแห่งชาติสิงคโปร์ (National University Health System) การวิจัยของ NUS เกี่ยวกับภาวะสูงวัยมุ่งเน้นการแสดงให้เห็นว่าการแทรกแซงเพื่อยืดอายุขัยสามารถใช้ได้จริงในมนุษย์ เพื่อยืดระยะเวลาที่มีสุขภาพที่ปราศจากโรค

งานวิจัยของ ศ. ดร. เคนเนดี้ มุ่งเน้นไปที่การค้นหากลไกที่ส่งผลต่อความชราทางชีววิทยา และการค้นหาวิธีการที่จะยืดอายุขัยและสุขภาพให้ยาวนานขึ้น งานวิจัยของเขามีส่วนสำคัญในการค้นพบบทบาทของ Sirtuins และ mTOR pathway ในการควบคุมการชราภาพ รวมไปถึง งานวิจัยมีการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาตัวบ่งชี้ทางชีวภาพของความชรา

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 ถึง พ.ศ. 2559 ศ. ดร. เคนเนดี้ ดำรงตำแหน่งประธานและ CEO ของ Buck Institute for Research on Aging ซึ่งเขายังคงดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์จนถึงปี พ.ศ. 2563 นอกจากนี้เขายังมีตำแหน่งศาสตราจารย์พิเศษในภาควิชาชีวเคมีที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ซึ่งเขาเคยเป็นอาจารย์ระหว่างปี พ.ศ. 2544 ถึง 2553 และที่ Davis School of Gerontologyมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย (USC) ศ. ดร. เคนเนดี้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกภายใต้ ศ. เลนเนิร์ด กัวเรนเต้ ที่ MIT โดยมีการตีพิมพ์งานวิจัยแรกที่เชื่อมโยง Sirtuins กับความชรา

ศ. ดร. เคนเนดี้ ยังเคยดำรงตำแหน่งบรรณาธิการร่วมให้กับ วารสาร Aging Cell ระหว่างปี พ.ศ. 2554 ถึง พ.ศ. 2564 และมีประวัติการร่วมงานกับนักวิทยาศาสตร์ในประเทศจีนมายาวนาน โดยเขาเคยเป็นศาสตราจารย์ที่ Aging Research Institute มหาวิทยาลัยแพทย์กวางตุ้ง ระหว่างปี พ.ศ. 2552 ถึง พ.ศ. 2557